ปรึกษาทนายจิม
085-939-3392

Line ID: @tanaijim

คำพิพากษา

อ่านต่อ
หนังสือสัญญาขายที่ดินเป็นเอกสารมหาชน ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงและถูกต้องหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 509/2568
เอกสารมหาชน  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127
การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน 
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104

หนังสือสัญญาขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นเอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องเป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายัน ต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 เมื่อพยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานของบทกฎหมายข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินเกิดจากการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันระหว่างโจทก์และจำเลยเพื่ออำพรางสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาซื้อขายที่ดินไม่ตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง

อ่านต่อ
ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์มรดกให้ตนเอง มีผลเป็นโมฆะหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 44/2568
โมฆะกรรม  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150
สิทธิหน้าที่ของผู้จัดการมรดก  
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719
การกระทำที่เป็นเป็นปฏิปักษ์ของผู้จัดการมรดก 
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1722

จำเลยที่ 1 ซึ่งมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) และโฉนดที่ดินในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 ในฐานะที่ตนเป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกด้วย เป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่โดยทั่วไปของผู้จัดการมรดกไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาท และไม่เป็นการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 และมาตรา 1722 นิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวไม่ตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 150 แม้จะทำให้โจทก์ผู้เป็นทายาทโดยธรรมได้รับความเสียหายไม่ได้รับมรดกที่ดินพิพาทก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 จะว่ากล่าวกันต่างหาก

อ่านต่อ
ความเสียหายเกิดขึ้นจากสัตว์เลี้ยง เจ้าของต้องรับผิดทุกกรณีหรือไม่

คำพิพากษาฎีกาที่ 760/2568
ข้อหา : ละเมิด ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433
ภาระการพิสูจน์ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84/1

จำเลยใช้สแลนหรือตาข่ายกรองแสงสีฟ้าและสังกะสีล้อม กระท่อมภายในที่ดินของจำเลยเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกของสุนัขออกเป็นการให้ที่อยู่อาศัยแก่ลูกสุนัขซึ่งจำเลยย่อมคาดหมายได้ว่าสุนัขเพศเมียต้องตามเข้าไปอาศัยอยู่กับลูกสุนัขภายในกระท่อมตามวิสัยและธรรมชาติของสุนัขแม่ลูกอ่อนและจำเลยยังนำเศษอาหารเลี้ยงสุนัขจรจัดรวมทั้งสุนัขเพศเมียนั้นด้วย พฤติการณ์บ่งชี้ว่าจำเลยเลี้ยงดูสุนัขเพศเมียอย่างเป็นเจ้าของ
สุนัขเพศเมียที่จำเลยเลี้ยงไว้อย่างเป็นเจ้าของเข้าไปกัดไก่ในเล้าในที่ดินของโจทก์ตายเป็นความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์จำเลย ซึ่งเป็นเจ้าของสัตว์มีภาระการพิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ว่าความเสียหายนั้น ย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น จึงจะไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433

อ่านต่อ
โครงการหมู่บ้านจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสลับแปลงกันกับบ้านหลังอื่น จะอ้างครอบครองปรปักษ์ได้หรือไม่
เคสนี้รับเป็นทนายผู้ร้องขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินและตึกแถวของโครงการหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งเจ้าของโครงการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์สลับแปลงกันกับบ้านหลังอื่น เมื่อจะทำนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและตึกแถวโดยการขอสินเชื่อจากธนาคาร ธนาคารไม่อนุมัติและแจ้งว่าโฉนดไม่ตรงกับเลขที่บ้านที่เจ้าของโครงการขอจัดสรรที่ดินไว้
การครอบครองปรปักษ์ต้องเป็นการครอบครองที่ดิน (ที่มีโฉนด) ของผู้อื่น โดยสงบ เปิดเผย มีเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นระยะเวลา 10 ปี ขึ้นไป
ทั้งนี้ ต้องยื่นคำร้องต่อศาลให้ศาลมีคำสั่งให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ด้วย 
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6756/2544
แม้จำเลยจะเข้าใจผิดว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 2749 ที่จำเลยซื้อมาตั้งแต่ปี 2472 ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ที่ดินแปลงดังกล่าว จึงไม่ใช่การครอบครองที่ดินของตนเองอันจะอ้างครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ เมื่อจำเลยครอบครองที่ดินซึ่งเป็นของโจทก์อันเป็นการครอบครองที่ดินของผู้อื่น ลักษณะครอบครองของจำเลยแสดงออกโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลานานกว่า10 ปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และการนับระยะเวลาครอบครองนั้นนับตั้งแต่เวลาที่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินตลอดมา หาใช่นับแต่วันที่ทำการรังวัดแล้วทราบว่าครอบครองที่ดินสลับแปลงกันไม่
 
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1921/2536
โจทก์และจำเลยซื้อที่ดินมีโฉนดจากเจ้าของกรรมสิทธิ์พร้อมกันแต่ได้เข้าครอบครองที่ดินสลับแปลงกัน แม้จำเลยจะครอบครองที่ดินของโจทก์โดยความเข้าใจผิดว่าเป็นที่ดินของตนเองแต่จำเลยก็ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องว่าเป็นที่ดินของโจทก์แล้วแย่งการครอบครองเกินกว่า 10 ปี จึงจะได้กรรมสิทธิ์ เมื่อการเข้าครอบครองนั้นเป็นการครอบครองด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกิน 10 ปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
 
อ่านต่อ
ผิดสัญญาเช่าซื้อ 3 งวดติดกัน ไฟแนนท์ติดตามยึดรถคืน ต้องรับผิดค่าขาดราคา(ค่าส่วนต่าง) และค่าเสียหายอื่นๆ หรือไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ 944/68
คดีแพ่ง : ผิดสัญญาเช่าซื้อ
ข้อกฎหมาย : เลิกสัญญา ผลของการเลิกสัญญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391
สรุปจากฎีกาย่อสั้น
ประเด็นที่ 1 จำเลยที่1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อเกิน 3 งวดติดต่อกัน แต่โจทก์ยังไม่ได้มายึดรถในทันที ต่อมาโจทก์มีหนังสือแจ้งให้ชำระค่าเช่าซื้อและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยให้จำเลยชำระภายใน30 วัน หากเพิกเฉยโจทก์ขอถือเอาหนังสือฉบับนี้เป็นการบอกเลิกสัญญา
ศาลวินิจฉัยว่า เป็นกรณีที่โจทก์สละสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาโดยทันทีตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ แต่ประสงค์จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อเมื่อจำเลยเพิกเฉยไม่ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างภายใน 30วัน
ประเด็นที่ 2 โจทก์กลับติดตามยึดรถก่อนครบกำหนด 30วันนับตั้งแต่จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าว โจทก์จะอ้างให้จำเลยรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อได้หรือไม่ เพียงใด
ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ยึดรถก่อนครบกำหนดตามหนังสือบอกกล่าวจากจำเลย จึงเป็นการกลับเข้าครอบครองรถในขณะที่สัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกัน และจำเลยก็ยินยอมโดยมิได้โต้แย้งคัดค้าน จึงเป็นการสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยาย ต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตาม ป.พ.พ.มาตรา391
ประเด็นที่ 3 กรณีเป็นการเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยายมีผลทางกฎหมายอย่างไร
ศาลวินิจฉัยว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันด้วยเหตุอื่นมิใช่การเลิกสัญญาเพราะเหตุที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา คู่สัญญาไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอีกต่อไป โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคา ค่าติดตาม ค่าขนส่งโดยอาศัยข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อที่ระงับไปแล้วได้
อ่านต่อ
โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือตาม ป.พ.พ.มาตรา 653 ต้องห้ามมิให้ยกขึ้นต่อสู้ฟ้องแย้งของจำเลย

คำพิพากษาฎีกาที่ 1263/2567    ป.พ.พ.มาตรา653 กู้ยืม/ป.วิ.พ. มาตรา 84/1 ภาระการพิสูจน์

    จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ยืมเงิน 1,500,000 บาท ที่โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์โอนเพิ่มเติมให้จำเลยไป โจทก์มีภาระการพิสูจน์แต่โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญมานำสืบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 3 จึงฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระเงินกู้ไม่ได้ซึ่งหมายความรวมถึงการห้ามมิให้ยกขึ้นต่อสู้คดีตามฟ้องแย้งจำเลยด้วย

อ่านต่อ
โจทก์ไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

คำพิพากษาศาลฏีกา 471-472/2567

     โจทก์ไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและกลับปล่อยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเพื่อตนเองมาตลอดนับตั้งแต่โจทก์ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ เท่ากับโจทก์สละสิทธิทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและยอมโอนสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินให้จำเลยที่ 1 แล้ว เป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา39 การที่โจทก์กลับมาอ้างสิทธิตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินและฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 จำเลยทั้งสองซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแต่กลับเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและลักลอบซื้อขายที่ดินพิพาทกันเป็นทอดๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเรื่องที่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิในที่ดินพิพาท ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา36 จะต้องว่ากล่าวเอาแก่จำเลยทั้งสองเอง ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง

อ่านต่อ
จำเลยยื่นคำฟ้องฎีกา โดยมิได้ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 518/2567 (ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่)

     ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย และศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาคดีส่วนอาญายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี กรณีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรค 1 ฎีกาของจำเลยในคดีส่วนอาญาโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว 

     ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ได้บัญญัติวิธีการขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสาม และมาตรา 252 มาใช้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ด้วยการยื่นคำร้องขออนุญาตถึงผู้พิพากษานั้น แต่ก็เป็นเพียงการนำมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้เท่านั้น ทั้งเหตุผลที่ต้องให้ผู้ฎีกาว่าประสงค์ให้ผู้พิพากษาคนใดพิจารณาอนุญาตให้ฏีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เพื่อที่ศาลที่รับคำร้องจะได้ส่งคำร้องพร้อมสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าวพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคสอง และมาตรา 223 บัญญัติให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น และให้เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นตรวจฎีกาว่าควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลฎีกาหรือไม่ เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจตรวจฎีกา และเมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดก็ย่อมมีอำนาจสั่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไปในคำฟ้องฎีกาเสียทีเดียวได้ แม้จำเลยจะมิได้ยื่นคำร้องเพื่อขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมาด้วยก็ตาม เพราะถือเป็นดุลพินิจเด็ดขาดของผู้พิพากษาที่สั่งอนุญาต การที่ผู้พิพากษาดังกล่าวตรวจฎีกาแล้วเห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และรับฎีกาของจำเลยไว้ จึงเป็นกรณีที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องตามเจตนารมณ์แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 แล้ว ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยต่อไปได้